top of page

Verb

ถ้าเราดูธรรมชาติของกริยาเราจะแบ่งกริยาออกได้ 3 ประเภทคือ

1. Action Verbs คือกริยากลุ่มที่มองเห็นและรับรู้ถึงการกระทำ เช่น

  • Walk - เดิน

  • Run - วิ่ง

  • Talk - คุย

  • Sit - นั่ง

  • Read - อ่าน

  • Write - เขียน

  • Jog - วิ่งเหยาะๆ

  • Cough - ไอ

  • Sleep - นอน

  • Jump – กระโดด

  • Sing - ร้องเพลง

  • Drink – ดื่ม

  • Teach – สอน

  • Present - เสนอ

  • Build - สร้าง

  • Break - แตก

  • Tow - พ่วง

  • Toss - โยน

  • Hug - กอด

  • Fight - ต่อสู้ ทะเลาะ

2. Non-action Verbs (Static Verbs) คือกริยาที่มองไม่เห็นการกระทำ เป็นกริยาที่รับรู้ได้หรือรู้สึกได้ เช่น

  • Love - รัก

  • Hate - เกลียด

  • Envy - อิจฉา

  • Believe - เชื่อ

  • Trust - เชื่อมั่น

  • Feel - รู้สึก

  • Entrust - มอบความไว้วางใจ

  • Experience - ประสบการณ์

  • Care - อาทร

  • Cherish - หวงแหน

  • Sense - รู้สึก

  • Know - รู้จัก

  • Recognise - จำได้

  • Understand - เข้าใจ

  • Comprehend - เข้าใจ

  • Like - ชอบ

  • Need - ต้องการ

  • Adore - รัก

  • Loathe - เกลียด

  • Appreciate - ซาบซึ้งใจ

3. Linking Verbs คำกริยาที่ทำหน้าที่เชื่อมประธานของประโยค กับ คำคุณศัพท์ เพื่อบ่งบอกสภาวะของประธานในประโยคนั้นๆ ซึ่งคำที่เรารู้จักกันดีก็คือ Verb to be

  • am / is / are / was / were / be/ been

  • have / has - มี

  • appear - ปรากฏ

  • seem - ดูเหมือน

  • become - กลายเป็น

  • look - ดู

  • feel - รู้สึก

  • sound - ฟังดู

  • taste - รสชาติ

  • smell - กลิ่น

  • go – กลายเป็น

  • turn - กลายเป็น

  •  She is happy. หล่อนมีความสุข

  • You are smart. คุณฉลาด

  • He is lazy. เขาขี้เกียจ

Linking Verb ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ได้ทั้ง กริยาแท้ และกริยาเชื่อม

มีอยู่สาม 3 คำ คือ be , become, seem ที่เป็นได้เฉพาะกริยาเชื่อม เพราะบอกได้แค่สภาวะ แต่ไม่สามารถบอกการกระทำได้

ให้จำหลักการง่ายๆว่า ถ้าทำหน้าที่เป็นกริยาแท้จะแสดงการกระทำ ถ้าทำหน้าที่เป็นกริยาเชื่อมจะแสดงสภาวะ

ตัวอย่างคำกริยาที่เป็นได้ทั้งกริยาแท้ และกริยาเชื่อม เช่น

  • I come home every Sunday.  ฉันมาบ้านทุกวันอาทิตย์ --> เป็นกริยาแท้ เพราะ come บอกการกระทำ

  • My dreams come true. ฝันของฉันกลายเป็นจริง --> เป็นกริยาเชื่อม เพราะ come บอกสภาวะ

  • I’m feeling the pillow. ฉันกำลังคลำหมอน --> เป็นกริยาแท้ เพราะ feel บอกการกระทำ

  • I’m feeling cold. ฉันรู้สึกหนาว --> เป็นกริยาเชื่อม เพราะ feel บอกสภาวะ

  • We grow flowers. พวกเราปลูกต้นไม้ --> เป็นกริยาแท้ เพราะ grow บอกการกระทำ

  • The flowers grow old. ดอกไม้เริ่มแก่ --> เป็นกริยาเชื่อม เพราะ grow บอกสภาวะ

  • They smell flowers. พวกเขาดมดอกไม้ --> เป็นกริยาแท้ เพราะ smell บอกการกระทำ

  • The flowers smell good. ดอกไม้ส่งกลิ่นหอม --> เป็นกริยาเชื่อม เพราะ smell บอกสภาวะ

Linking Verb กับ Verb to be

ความแตกต่างของ Linking verb กับ Verb to be ก็คือว่า

Linking verb = ชั่วคราว   Verb to be = ถาวร

  • ถ้าเราใช้ Verb to be เมื่อไหร่ จะเป็นการบอกนิสัยถาวรของคนๆนั้น แต่ถ้าใช้ linking verb จะบอกว่าพฤติกรรมนั้นๆเกิดชั่วคราว เช่น

  • She is happy. หล่อนมีความสุข --> นี่คือตัวตนของเธอ เธอมีความสุขทุกเวลา

  • She looks happy today. หล่อนดูเหมือนจะมีความสุขวันนี้ --> เดือนก่อน สัปดาห์ก่อนหน้ามุ่ย สังสัยได้รับข่าวดีอะไรสักอย่าง

  • You are smart. คุณฉลาด --> คูณเก่งอยู่แล้วแต่เกิด ที่หนึ่งตลอด ทำอะไรก็คล่องไปหมด

  • You seem smart. คุณดูฉลาด --> คุณดูฉลาดขึ้นนะ ประชุมทุกทีมีแต่เสนอแนะอะไรไม่เป็นท่า วันนี้หนาทำไมเป็นคนละคน กินยาผิดซองหรือเปล่า

  • He is lazy. เขาขี้เกียจ --> ไม่เคยทำอะไรเลย งานหนักไม่เอา เบาไม่สู้

  • He sounds lazy. เขาดูเหมือนจะขี้เกียจ --> ปกติขยันขันแข็ง แต่ทำไมตอนนี้เหมือนจะเริ่มอู้งานแล้ว เกิดอะไรขึ้น

แต่มีบางบริบท บางคำที่ใช้แทนกันได้เลย เช่น

  • The soup is good.

  • The soup tastes good. --> ซุปรสชาติดี

  • She is cold.

  • She feels cold. -->หล่อนหนาว ใช้แทนกันได้ ถ้าบอกความรู้สึก แต่ She is cold. She never talks to anyone. หล่อนเย็นชา หล่อนไม่เคยพูดกับใครเลย

ธรรมชาติของกริยา

ในเรื่องของกริยา เราจะต้องดูว่า 1 ประโยคจะต้องมี “กริยาแท้” เพื่อแสดงการกระทำของประธาน และอาจจะมี “กริยาไม่แท้” เพื่อเป็นส่วนขยาย

วิธีสังเกตกริยาแท้

  1. กริยาแท้ต้องมี tense

    • Tenses

      • สังเกตกริยาตัวแรก จะเป็นตัวบอกเวลาคือ

        • Present tenses – V1

        • Past tenses – V2

        • Future tenses – will / shall + V1

      • กริยาตัวที่ตามมาคือตัวบอกเหตุการณ์ คือ

        • simple = ปกติทั่วไป โดยที่ present simple / past simple มาเดี่ยวๆ

        • continuous = กำลังทำอยู่ --> Ving

        • perfect = ทำจากอดีต อย่างสมบูรณ์ --> V3

        • perfect continuous = ทำมาจากอดีต อย่างต่อเนื่อง --> been + Ving

  2. กริยาแท้ต้องผันตามประธาน – ประธานเอกพจน์กริยาเอกพจน์, ประธานพหูพจน์กริยาพหูพจน์ จุดสังเกตอย่างนึงคือ ประธานเป็นเอกพจน์กริยามี -s ไม่ว่าจะเป็น

    • is

    • was

    • does

    • has

    • V1(s)

  3. กริยาแท้ต้องมี voice

    • active voice - ประธานเป็นผู้กระทำกริยา นี่คือเรื่อง tenses ทั้ง 12 tenses

    • passive voice – ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ และอยู่ในรูป to be + V3 เสมอ เช่น

      • present simple (active) = S+V1(s,es)

      • present simple (passive) = S + is/am/are + V3

      • เช่น He feeds his dog every day at 3 pm.

      • >> His dog is fed every day at 3 pm.

      • past simple (active) = S + V2

      • past simple (passive) = S + was/were + V3

      • เช่น I bought a pair of shoes yesterday.

      • >> A pair of shoes was bought yesterday.

  4. คู่กริยาของกริยาแท้

    • Verb to do (do / does / did) + V1

    • Verb ช่วย (can / could / will / would / shall / should / may / might) + V1

    • Verb to be (is/am/are/was/were/be/been) + Ving ถ้าเป็น active voice คือ continuous tenses

    • Verb to be (is/am/are/was/were/be/been) + V3 ถ้าเป็น passive voice

    • Verb to have (have / has / had) + V3 --> perfect tenses

tenses
types of verbs

Types of Verbs

bottom of page